วันเสาร์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สิ่งดีๆ วัฒนธรรมดีๆ ของปู่ย่าตายาย

สิ่งดีๆ วัฒนธรรมดีๆของปู่ย่าตายาย
ให้เอามาสอนลูกหลาน
จะได้มีภูมิคุ้มกันที่จะไปต่อสู้
กับกระแสสื่อที่ไม่รับผิดชอบ
เห็นแก่เม็ดเงินบนความหายนะ









ของบุตรหลานของเพื่อนมนุษย์

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

การสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร

การสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร คือการผูกใจไว้กับพระรัตนตรัย

"ธัมมจักกัปปวัตนสูตร"ด้วยพระสูตรนี้ เป็นพระสูตรบทแรก
จึงมีอานิสงส์ในการสวดมาก  ตามคัมภีร์กล่าวไว้ดังนี้ “ท่านใดได้สวดจะทำให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง ไม่ว่าจะเป็นกิจการงานแขนงใดที่ทำอยู่จะได้เจริญก้าวหน้ามากยิ่งขึ้น และยังเป็นบทสวดที่ปลดเปลื้องทุกข์ภัยต่างๆ นานาได้อีกด้วย สิ่งเลวร้ายจะกลายมาเป็นแก้วสารพัดนึกขึ้นมาได้และยังจะทำให้ผู้นั้นมีอายุยืน มีความ สุขกาย สุขใจ ปราศจากทุกข์โศก โรคภัย เมื่อได้สวดประจำทุกคืน ทั้งตื่นและหลับจะกลับกลายเป็นมิ่งมงคลแก่ตัวเอง เมื่อยังมีชีวิตอยู่ก็ได้มีความเจริญก้าวหน้าสถาพร ทรัพย์สมบัติข้าวของบริบูรณ์ เมื่อละไปจากโลกจะ ได้ไปอยู่เป็นสุขในสรวงสวรรค์”


ใน นครสูตร นิทาน.สังยุต (๑๖/๑๒๘/๒๕๓.) มีบันทึกว่ามรรคมีองค์ ๘ คือรอยทางเก่าแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต ดังมีพระดำรัสตรัสไว้ดังนี้
"...ภิกษุ ท.! ก็รอยทางเก่า ที่เคยเป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว นั้นเป็นอย่างไรเล่า ?
นั่นคืออริยอัฏฐังคิกมรรคนี้นั่นเทียว ได้แก่สิ่งเหล่านี้คือ สัมมาทิฏฐิ สัมมาสังกัปปะ สัมมาวาจา สัมมากัมมันตะ สัมมาอาชีวะ สัมมาวายามะ สัมมาสติ สัมมาสมาธิ.
ภิกษุ ท.! นี้แล รอยทางเก่าที่เป็นหนทางเก่า อันพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลายในกาลก่อนเคยทรงดำเนินแล้ว..."

ดังนั้น การสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร คือการผูกใจไว้กับการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต (ซึ่งพระพุทธเจ้าในอดีตที่ตรัสรู้ไปแล้วนั้นมีจำนวนพระองค์มากยิ่งกว่าเมล็ดทรายในท้องพระมหาสมุทรทั้ง ๔)

แต่เพราะเราเกิดมาไม่ทันพบพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน และไม่รู้อนาคตที่แน่นอนในวัฏสงสาร จึงต้องหาหลักประกันว่าเราจะไม่ตกต่ำในการเวียนว่ายตายเกิด ได้เกิดมาพบกับพระพุทธศาสนาในภายภาคหน้า นั่นคือผูกใจไว้กับธัมมจักกัปปวัตนสูตร พระปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน อันเป็นรอยทางเก่าแห่งการตรัสรู้ธรรมของพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์นั่นเอง
  ดังนั้น เชิญชวนทุกท่านมาสวดมนต์บทธัมมจักกัปปวัตนสูตรกัน ซึ่งเป็นบทสวดที่นิยมกันมากในเมืองไทย ธัมมจักกัปปวัตนสูตร หมายถึง พระสูตรที่หมุนวงล้อแห่งธรรมให้เคลื่อนไป  เป็นพระธรรมเทศนากัณฑ์แรกของพระพุทธเจ้า  ซึ่งทรงแสดงแก่ปัจจวคีย์ทั้ง ๕ พร้อมทั้งเทวดาและพรหมที่ตามไปฟังธรรมด้วยเป็นอันมาก ณ ป่ามฤคทายวัน ใกล้เมืองพาราณสี

                                                                                    Cr :  Ptreetep Chinungkuro

วันพฤหัสบดีที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2559

สวดธัมมจักกัปวัตนสูตร ๔ ล้านจบ



กระแสยอดฮิตช่วงนี้   อินเทรนด์สุด...สวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร 4 ล้านจบ

ทำไมต้องสวด???  สวดเพื่ออะไร....??? ทำไมต้อง 4 ล้านจบ????






ธัมมจักกัปปวัตนสูตร เป็นปฐมเทศนา เทศนากัณฑ์แรกที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงแก่พระปัจจัคคีย์ พระโกณฑัญญะบรรลุธรรมเป็นพระสงฆ์สาวกองค์แรกในพระพุทธศาสนา กลางเดือนอาสาฬหะหรือเดือน 8 ครบถ้วนพระรัตนตรัย คือมีพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์



              มีเนื้อหาแสดงถึงการปฏิเสธส่วนที่สุด 2 อย่าง และเสนอแนวทางดำเนินชีวิตโดยสายกลาง เป็นแนวทางใหม่ให้มนุษย์ มีเนื้อหาแสดงถึงขั้นตอนและแนวทางในการปฏิบัติเพื่อบรรลุถึงอริยสัจ 4 คือ อริยมรรคองค์ 8 เริ่มจากการทำความเห็นให้ถูกทางสายกลางก่อน เพื่อดำเนินขั้นตอนการปฏิบัติรู้ เพื่อละทุกข์ทั้งปวง เพื่อดับทุกข์อันได้แก่นิพพาน เป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดของพระพุทธศาสนา



สรุปธัมมจักกัปปวัตนสูตร แสดง
ส่วนที่สุด 2 อย่างที่พระพุทธศาสนาปฏิเสธ ได้แก่ กามสุขัลลิกานุโยค คือการหมกมุ่นอยู่ในกาม และอัตตกิลมถานุโยค คือการทรมานตนให้ลำบากโดยเปล่าประโยชน์

มัชฌิมาปฏิปทา คือปฏิปทาทางสายกลางที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้ คือมรรคมีองค์8

อริยสัจ 4 คือธรรมที่เป็นความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ














อานิสงส์การสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตร
       บทสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรแต่ละตัวอักษร เป็นสมบัติเรียกว่า อริยทรัพย์ ทรัพย์ที่จะทำให้เป็นพระอริยเจ้า แต่ละคำกลั่นออกจากใจที่บริสุทธิ์หลุดพ้นจากกิเลสอาสวะ เป็นสิ่งที่หลุดพ้นได้ยากของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

        เราต้องสวดให้ได้ เพราะแต่ละคำเป็นทรัพย์ทั้งสิ้น พอมีทรัพย์แล้ว ผู้หลุดพ้นแล้วจะปลื้ม สุขกายสบายใจ  ไม่มีประมาณ Unlimited Happy 

         เราควรจะจำได้ทั้งหมด ระหว่าง "สวดได้ทั้งหมด กับ สวดได้เกือบหมด" เราจะเอาแบบไหน? เหมือน "เกือบจะรวย กับ รวยแล้ว" อันไหนดีกว่ากัน??? 
                                                                        โอวาทคุณครูไม่ใหญ่ 













 รอช้าได้ไง!!!!





      



           (ไปสวดธัมมจักกัปปวัตนสูตรกันจ้า

            จะครบล้านที่ 3 แล้ว เดี๋ยวไม่ทันนะ)






วันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2559

เราเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย

 สืบเนื่องมาจากกระแสข่าวของพระเทพญาณมหามุนี (หลวงพ่อธัมมชโย) ที่ได้รับการบริจาคทำบุญด้วยเช็คของสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยนคลองจั่นแต่กลับถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานสมคบกัน, ร่วมกันฟอกเงินและร่วมกันรับของโจร และท่านขอเลื่อนการไปพบตามหมายเรียกของ DSI เนื่องจากอาพาธต่อมา DSI จึงไปขอให้ศาลออกหมายจับท่านและขอกำลังตำรวจจำนวนมากเตรียมบุกไปจับตัวท่านที่วัดพระธรรมกาย จนกระทั่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์กันไปต่าง ๆ นานาในหมู่ประชาชนทำให้ผู้คนจำนวนไม่น้อยตัดสินไปแล้วว่าหลวงพ่อธัมมชโยมีความผิด ซึ่งไม่เป็นธรรมกับท่านอย่างยิ่ง เพราะคดีนี้ยังอยู่ในขั้นตอนการสอบสวน ยังไม่มีการตัดสินใด ๆ ดังนั้นตามกฎหมายหลวงพ่อธัมมชโยจึงยังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าวหา ไม่ใช่ผู้กระทำผิด

     ขณะนี้เรื่องราวยังไม่สงบลง ดังนั้นในช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาจนถึงต้นเดือนมิถุนายน ที่วัดพระธรรมกายจึงมีนักข่าวนับร้อยคนคอยเกาะติดสถานการณ์และนำเสนอข่าวของหลวงพ่อกันไม่หยุดหย่อน

     ท่ามกลางมรสุมที่โหมกระหน่ำเข้ามาลูกแล้วลูกเล่า คณะศิษยานุศิษย์ของหลวงพ่อธัมมชโยก็ไม่รู้สึกหวั่นไหว ยังคงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของท่าน และมั่นใจว่าอีกไม่นานความจริงจะปรากฏให้สังคมรับรู้

อะไรทำให้บุคคลเหล่านี้ยังคงเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อธัมมชโย ?

     การที่คณะศิษย์มีความเชื่อมั่นในความบริสุทธิ์ของหลวงพ่อนั้นมิได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่มีสาระสำคัญ ๒ ประการรองรับ คือ ๑. การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน ๒. การพิสูจน์ด้วยตนเอง

     การได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วน

     ปกติการจะวิเคราะห์ วิจัย วิจารณ์ หรือสรุปเรื่องอะไรก็ตาม ถ้าใครมีข้อมูลที่ครบถ้วนและถูกต้องอยู่ในมือ เปอร์เซ็นต์ความแม่นยำในการสรุปหรือตัดสินเรื่องนั้น ๆ จะมีมากกว่าคนที่ได้ข้อมูลไม่ครบหรือไม่ถูกต้องหลายเท่า

     กรณีของหลวงพ่อธัมมชโยก็เช่นกันปัญหาความเข้าใจผิดที่สังคมมีต่อหลวงพ่อส่วนใหญ่มาจากการได้รับข้อมูลไม่ครบถ้วนและไม่ถูกต้อง ซึ่งประเด็นหลัก ๆ ในขณะนี้ก็คือ

      ๑. ประเด็นการตั้งข้อหาเรื่องเงินบริจาคว่าหลวงพ่อธัมมชโยฟอกเงินและรับของโจร

     เรื่องนี้ไม่เป็นความจริง เงินจำนวนที่เป็นปัญหานี้ ได้รับบริจาคมาอย่างเปิดเผยต่อหน้าสาธารณชน และหลวงพ่อไม่เคยเห็นเช็คเหล่านี้เลย อีกทั้งท่านก็ไม่ทราบด้วยว่าเงินบริจาคเหล่านี้ ผู้บริจาคแต่ละคนได้มาจากไหน และไม่ใช่หน้าที่ของพระที่จะไปตรวจสอบที่มาของเงิน แต่เมื่อมีผู้มาถวายท่านก็ต้องรับด้วยความเคารพในทาน ดังนั้นการตั้งข้อกล่าวหาว่าท่านรับของโจรจึงไม่เป็นความจริง






 หลังจากรับบริจาคมาแล้ว เช็คที่ได้รับบริจาคมาก็นำเข้าบัญชี แล้วนำไปจ่ายเป็นค่าก่อสร้างศาสนสถานและงานพระศาสนาโดยไม่ได้เบิกถอนออกมาเป็นเงินสดแม้แต่บาทเดียว การรับบริจาคและใช้จ่ายเงินจึงมีความชัดเจน ไม่ปรากฏว่ามีการฟอกเงินแต่อย่างใด นอกจากนี้เมื่อสหกรณ์เกิดปัญหา ด้วยความเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ที่ได้รับความเดือดร้อน คณะศิษย์วัดพระธรรมกายจึงตั้งกองทุนรวบรวมเงินช่วยเหลือเยียวยาแก่สมาชิกผู้ฝากเงินสหกรณ์ฯ เป็นจำนวน ๑,๐๕๕.๕๖ ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกลุ่มเดียวที่ให้ความช่วยเหลือแก่สมาชิกสหกรณ์ฯ

     ขอย้ำอีกครั้งว่า เงินจำนวนนี้เป็นเงินที่คณะศิษย์วัดพระธรรมกายรวบรวมกันมาเพื่อช่วยเหลือบรรเทาความเสียหายแก่สมาชิกสหกรณ์ฯ ซึ่งสหกรณ์ฯ ได้ทำหนังสือแสดงความขอบคุณมายังคณะศิษย์ และไม่ประสงค์ที่จะดำเนินคดีใด ๆ กับหลวงพ่อทั้งทางแพ่งและทางอาญา


 ๒. ประเด็นที่หลวงพ่อไม่ไปรับทราบข้อกล่าวหาที่ DSI

     การที่หลวงพ่อธัมมชโยไม่ได้ไปรับทราบข้อกล่าวหา เป็นเพราะท่านอาพาธหนักด้วยโรคถึง ๘ โรค และมี ๑ โรคที่ต้องเฝ้าระวังการเกิดภาวะเฉียบพลันด้วยลิ่มเลือดอุดตันอวัยวะสำคัญภายใน และขณะนี้ท่านก็มีอายุถึง ๗๒ปีแล้ว ดังนั้นการเดินทางไปรับข้อกล่าวหาที่ DSI จึงมีความเสี่ยงต่อชีวิตตามความเห็นของคณะแพทย์

     อย่างไรก็ตาม หลวงพ่อยินดีทำตามกระบวนการยุติธรรม โดยยื่นหนังสือขอให้เจ้าหน้าที่เปลี่ยนสถานที่นำข้อกล่าวหาไปให้ท่านรับทราบที่วัด แต่ DSI ยังไม่เชื่อว่าท่านป่วยทั้ง ๆ ที่มีใบรับรองแพทย์อย่างถูกต้องมายืนยันและไม่ยอมส่งแพทย์มาตรวจว่าท่านป่วยจริงหรือไม่ กลับยืนกรานให้ท่านไปพบที่สำนักงาน DSI ให้ได้ ทั้ง ๆ ที่กฎหมายก็เปิดช่องให้ DSI นำข้อกล่าวหาไปให้หลวงพ่อรับทราบที่ไหนก็ได้

     เมื่อ DSI เห็นว่าหลวงพ่อไปรับทราบข้อกล่าวหาที่สำนักงาน DSI ไม่ได้ เจ้าหน้าที่ DSI ก็ไปขอให้ศาลออกหมายจับหลวงพ่อทันทีโดยใช้เวลาไม่ถึง ๒ เดือนหลังการออกหมายเรียกครั้งแรก ซึ่งถือเป็นเวลาที่รวดเร็วมาก

     และเนื่องจากคดีนี้มีรายละเอียดหลายประการ จึงทำให้ประชาชนที่ไม่ได้ติดตามทุกขั้นตอนเกิดความสับสนและอาจเข้าใจผิดได้ในขณะที่คณะศิษยานุศิษย์วัดพระธรรมกายมีความสนใจคดีนี้เป็นอย่างมาก จึงติดตามรายละเอียดทุกขั้นตอน ทำให้ได้ข้อมูลที่ถูกต้องและครบถ้วนที่สรุปได้ว่า หลวงพ่อเป็นผู้บริสุทธิ์


การพิสูจน์ด้วยตนเอง

     หลวงพ่อธัมมชโยสอนธรรมปฏิบัติมาเป็นระยะเวลาประมาณ ๕๐ ปี จึงมีศิษยานุศิษย์จำนวนมากที่รู้จักท่านมาเป็นเวลายาวนาน ซึ่งบุคคลเหล่านี้ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหลวงพ่อเป็นพระภิกษุผู้มีความบริสุทธิ์ ทั้งคำพูดและการกระทำของท่านไม่มีอะไรด่างพร้อยโดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุที่จำพรรษาอยู่ที่วัดพระธรรมกายมาเป็นเวลานาน จะยิ่งเห็นคุณธรรมความดีงามของท่านจากการได้อยู่ร่วมกัน ดังพุทธพจน์ที่ว่า “ศีลพึงรู้ได้ด้วยการอยู่ร่วมกัน”

     อย่างไรก็ตาม อาจมีคนคัดค้านว่า ในฐานะศิษย์ก็ต้องเคารพเทิดทูนครูบาอาจารย์เป็นธรรมดา เกี่ยวกับเรื่องนี้ผู้เขียนเห็นว่ายังมีบางสิ่งบางอย่างที่คนนอกวัดพระธรรมกายไม่เข้าใจ เพราะเขาเหล่านั้นไม่เคยรู้จักหลวงพ่อธัมมชโย ความรู้สึกที่พวกเขามีต่อหลวงพ่อจึงไม่ใช่สิ่งที่เขาประสบด้วยตนเอง แต่รับข้อมูลมาจากสื่อมวลชนบ้าง ฟังเขาเล่าต่อ ๆ กันมาบ้าง ในขณะที่คณะศิษย์วัดพระธรรมกายล้วนมีประสบการณ์ตรง คือ เห็นทั้งสิ่งที่ท่านสอนและทำด้วยตัวของพวกเขาเอง ซึ่งล้วนแต่เป็นสิ่งที่ดีงาม ทุกคนจึงมีความเคารพรักหลวงพ่อมาก

ที่สำคัญ ตลอดเวลาที่ผ่านมาหลวงพ่อไม่เคยสอนสิ่งที่ไม่ดีเลย มีแต่สอนให้ละชั่วทำดี ทำใจให้ผ่องใส ให้บำเพ็ญบุญกิริยาวัตถุ ๓ ประการ คือ ทาน ศีล ภาวนา และสอนให้รักพระพุทธศาสนา ให้กตัญญู ให้อดทน ฯลฯโดยท่านปฏิบัติตนเป็นต้นแบบเสมอมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการอดทนทำความดีแบบเอาชีวิตเป็นเดิมพัน ดังที่ท่านปฏิบัติให้เห็นตลอดมา แม้สุขภาพท่านไม่แข็งแรงมาเป็นเวลากว่าสิบปีแล้วก็ตาม 

นอกจากนี้ การที่ได้ไปวัดทุกวันอาทิตย์และได้ฟังเทศน์จากหลวงพ่อทาง DMC ทุกวันตลอดมาเป็นเวลายาวนาน ทำให้ทุกคนได้รับรู้ทัศนคติในด้านต่าง ๆ ของหลวงพ่อ ซึ่งล้วนแต่แสดงให้เห็นว่า ท่านมีจิตใจที่บริสุทธิ์งดงามเพียงใด สิ่งที่ท่านเทศน์สอนบ่งบอกให้เห็นคุณธรรมที่อยู่ในใจของท่าน อาทิ การยึดหลักโอวาทปาฏิโมกข์อย่างเคร่งครัด และยังสอนให้ศิษย์ปฏิบัติตาม โดยไม่ให้ว่าร้ายหรือไปทำร้ายใคร ยิ่งในเวลาหน้าสิ่วหน้าขวาน จะยิ่งเห็นว่าใจท่านมีแต่ความสงบและเปี่ยมไปด้วย ความเมตตากรุณาต่อสรรพชีวิต






    ส่วนผลงานของท่านแต่ละโครงการ ก็ล้วนเป็นไปเพื่อการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและฟื้นฟูศีลธรรมโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อมหาชนสังคม ประเทศชาติ และพระศาสนาทั้งสิ้น เช่น โครงการบวชพระแสนรูป โครงการอบรมศีลธรรมเด็กผ่านนิทรรศการ V-Star โครงการตักบาตรพระทั่วไทย โครงการถวายสังฆทานแด่พระภิกษุ ๓๒๓ วัด ใน ๔ จังหวัดภาคใต้ โครงการสอบตอบปัญหาธรรมะทางก้าวหน้า ฯลฯ



ทั้งคุณธรรมความดีงามและผลงานของท่าน คือสิ่งที่คณะศิษย์วัดพระธรรมกายพบเห็นมาตลอด และเมื่อผ่านการพิสูจน์มาเป็นเวลาที่ยาวนาน ความเคารพรักที่มีต่อหลวงพ่อจึงทวีปริมาณมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกคนจะเชื่อมั่นว่าท่านบริสุทธิ์

    อย่างไรก็ตามนอกจากศิษย์ของท่านแลว้ยังมีผู้คนอีกมากมายจากนานาประเทศที่ให้ความเคารพหลวงพ่อธัมมชโย เห็นคุณงามความดีและคุณค่าในผลงานของท่าน ดังจะเห็นได้จากเมื่อวันคุ้มครองโลก ๒๒ เมษายน ๒๕๕๙มีองค์กรต่าง ๆ จาก ๔๐ ประเทศ รวม ๙๗ องค์กร นำปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์โล่รางวัลและใบประกาศเกียรติคุณมาถวายท่านเป็นจำนวน ๙๗ รางวัล ในฐานะบุคคลสำคัญที่มุ่งมั่นจะสร้างสันติสุขแก่โลกใบนี้



วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

การอนุโมทนาบุญและมุทิตาจิต


คำว่า “อนุโมทนาบุญ” มีความหมายอย่างไร?

      “อนุโมทนา” คือ การที่เราแสดงความรู้สึกเห็นชอบ ชื่นชม ซาบซึ้ง ในการทำความดีของคนอื่น ไม่ว่าจะเป็นการให้ทาน รักษาศีลเจริญสมาธิ(Meditation)ภาวนา หรือทำความดีทุกรูปแบบพอเห็นก็ขออนุโมทนาด้วย ผลที่เกิดขึ้นกับตัวเราก็คือ พอเราเห็นเขาทำความดีแล้วเราเห็นด้วย ใจเราจะใสขึ้นทำให้เป็นทางมาแห่งบุญที่เรียกว่า “ปัตตานุโมทนามัย” บุญที่สำเร็จด้วยการอนุโมทนา แค่เห็นเขาทำความดีแล้วเราอนุโมทนา เราก็ได้บุญด้วย เพราะใจเราใสขึ้นส่วนคนอื่นพอทำความดีแล้วมีคนมาเชียร์ก็รู้สึกว่าดีจังเลย เกิดกำลังใจทำความดีต่อ เรียกว่าได้ประโยชน์ทั้งผู้อนุโมทนาและได้ทั้งผู้ที่ทำความดี


การที่เรามุทิตาจิตถือเป็นการอนุโมทนาบุญอย่างหนึ่งหรือไม่?

      การอนุโมทนากับการมุทิตามีส่วนที่คล้ายคลึงกัน แต่รายละเอียดต่างกัน การอนุโมทนาก็ตามที่กล่าวไปแล้ว ส่วนมุทิตาเป็นลักษณะของการพลอยยินดีเวลาที่คนอื่นได้ดีมีสุข ประสบความสำเร็จ เช่น ได้เลื่อนตำแหน่งเลื่อนขั้น สอบได้ การอนุโมทนาใช้ตอนที่เขาทำความดี แล้วเราไปชื่นชมการกระทำความดีของเขา แต่มุทิตาเน้นที่ผลลัพธ์ที่เขาได้รับมา เช่น สอบผ่าน ได้เลื่อนสมณศักดิ์ หรือได้เลื่อนตำแหน่ง เลื่อนยศ เป็นต้น



   อนุโมทนาบุญในใจกับได้พูดคุยอนุโมทนาสาธุ อานิสงส์ต่างกันอย่างไร?

     เวลาเห็นใครเขาทำความดี เห็นข่าวในหนังสือพิมพ์ ในทีวี วิทยุ หรือเว็บไซต์ก็ตามแล้วเรานึกชื่นชมยินดีกับเขาไปด้วย เราก็ได้บุญแค่นึกด้วยใจก็เป็นมโนกรรม บุญเกิดแล้ว ยิ่งเป็นคนรู้จัก เจอกันก็ยกมือสาธุขออนุโมทนาด้วยนะ อย่างนี้ถือเป็นวจีกรรม บุญจะเกิดเพิ่มขึ้น เพราะว่าเมื่อเอ่ยปากออกมาจะมีความตั้งใจมากกว่าอยู่ในใจเฉย ๆ แล้วผู้ที่ทำความดีก็จะเกิดกำลังใจที่จะทำความดีมากขึ้นไปอีก เพราะฉะนั้นถ้าเราได้เจอตัวและได้เอ่ยปากอนุโมทนาด้วย บุญที่เกิดขึ้นกับเราก็จะมากกว่าอนุโมทนาในใจ แล้วถ้าได้แสดงด้วยการกระทำ เช่น หาอะไรไปแสดงความยินดีในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ช่อดอกไม้ การ์ด ฯลฯ แบบนี้ถือว่าเป็นกายกรรม ยิ่งได้บุญมากขึ้นอีกเพราะว่าการจะลงมือทำอะไรบางอย่างให้เขาเราก็ต้องตั้งใจมากกว่าการเอ่ยปากธรรมดาบุญก็จะได้มากขึ้นตามส่วน คนที่ทำความดีก็มีกำลังใจทำความดีต่อไป เราเองก็ได้บุญแล้วในแง่สังคมโดยภาพรวม เมื่อทุกคนมีมุทิตาจิตยกย่องการทำความดี เทรนด์สังคมจะหันไปในทางที่ถูกต้องดีงาม แล้วสังคมเราก็จะพัฒนาก้าวหน้ายิ่ง ๆ ขึ้นไป


เรื่อง : พระครูปลัดสุวัฒนโพธิคุณ (สมชาย ฐานวุฑฺโฒ) 
จากรายการข้อคิดรอบตัว ออกอากาศทางช่อง DMC

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2559

ครั้งแรกในชีวิตตักบาตรพระเณรแสนรูป

ซุปเปอร์บิ๊กบุญตักบาตรพระเณรแสนรูป ครั้งประวัติศาสตร์
เรียบเรียงจากรายการโรงเรียนอนุบาลฝันในฝันวิทยา

การจัดทำโครงการตักบาตรแสนในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559  ณ วัดพระธรรมกาย
ที่จะถึงนี้พวกเราชาวพุทธต่างปลื้มที่จะได้ตักบาตรและถวายภัตตาหาร
เป็นสังฆทานพระภิกษุสามเณรมากกว่าแสนรูป อานิสงส์นี้แรงสุดๆ

จากอรรถกถาเรื่องของพระมหากัสสปะ ผู้เป็นเลิศด้านถือธุดงควัตร
ท่านเป็นเอตทัคคะ เพราะบุญที่ทำกับพระจำนวนมหาศาล ในสมัยพระปทุมุตตรพุทธเจ้า
พระมหากัสสปะท่านเกิดเป็นเศรษฐีที่ชื่อว่า เวเทหะ 
วันหนึ่งท่านได้ไปเข้าเฝ้าพระปทุมุตตรพุทธเจ้า แล้วเห็นพระองค์ทรงแต่งตั้งพระมหานิสภเถระ ให้เป็นเอตทัคคะ ด้านผู้ถือธุดงค์และกล่าวสอนเรื่องธุดงค์

หลังจากเสร็จพิธี เวเทหะเศรษฐีก็ได้เข้าไปกราบนิมนต์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
โดยขออนุญาตว่า พรุ่งนี้จะขอนิมนต์พระภิกษุทั้งหมดจำนวน 6 ล้าน 8 แสนรูปมาฉันภัตตาหารที่บ้าน วันรุ่งขึ้นระหว่างการถวายภัตตาหาร เวเทหะเศรษฐีเห็นพระมหานิสภเถระเดินบิณฑบาตอยู่ จึงนิมนต์เข้ามาฉันภัตตาหารในบ้านของตน 
แต่ด้วยข้อปฏิบัติที่เคร่งครัดในการถือธุดงควัตร ท่านจึงแค่รับภัตตาหารลงในบาตร แต่ไม่ได้เข้าไปในบ้านของเวเทหะเศรษฐี 

พระปทุมุตตรพุทธเจ้าได้สรรเสริญข้อวัตรปฏิบัติของพระมหานิสภเถระ จนเวเทหะเศรษฐีเกิดความเลื่อมใสอย่างแรงกล้า แล้วอยากเป็นเลิศด้านผู้ถือธุดงค์และกล่าวสอนเรื่องธุดงค์เหมือนพระมหานิสภเถระบ้าง เวเทหะเศรษฐีจึงได้นิมนต์พระจำนวน 6 ล้าน 8 แสนรูป มาฉันภัตตาหารแบบนี้อีก 7 วันติดกันเพื่อเอาบุญนี้ และอธิษฐานตั้งความปรารถนาเป็นเอตทัคคะเหมือนพระมหานิสภเถระ

พระปทุมุตตรพุทธเจ้าทรงพยากรณ์ว่า ในอนาคตจะได้เป็นเลิศด้านผู้ถือธุดงค์และกล่าวสอนเรื่องธุดงค์มีชื่อว่าพระมหากัสสปเถระในสมัยพระสมณโคดมพุทธเจ้า

การทำบุญกับพระจำนวนมหาศาลเป็นบุญที่มีอานิสงส์แรงมาก
ในอรรถกถายังมีการยืนยันอีกว่ามีการตักบาตรพระถึง 2 หมื่นรูป ในสมัยของพระสมณโคดมพุทธเจ้า ในครั้งที่พระองค์ทรงนำพระภิกษุทั้งหมดบิณฑบาตโปรดพระประยูรญาติและชาวเมืองกบิลพัสดุ์

ดังนั้นการตักบาตรพระเณรแสนรูป ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559 นี้
ถือว่าเป็นการตักบาตรที่จะทำให้ทุกคนได้บุญใหญ่เหมือนย้อนยุคพุทธกาล 
เราต้องมาเอาบุญใหญ่ครั้งนี้กันทุกคน จะได้เป็นประวัติศาสตร์ชีวิตว่า

       “ครั้งหนึ่งในชีวิตของเรา ได้ตักบาตรพระเณรแสนกว่ารูป 



                         เป็นบุญลาภของตัวเราเอง"


                 ....ลืมไม่ลง คงไม่ลืม ปลื้มไปทุกชาติ...

วันอาทิตย์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2559

ความประทับใจที่มีต่อคุณยาย

ทำบุญกันไว้เยอะๆ "บุญมัน มีได้ มันก็หมดได้"
ยายบอกว่า.. บุญเล็กบุญน้อย ยายจะเก็บให้หมด 
           ท่านมักจะสอนบ่อยๆ ว่า..บุญมีได้มันก็หมดได้นะ ต้องทำบ่อยๆ  กว่าเราจะละความชั่ว มาสร้าง ความดีได้ เราเผลอทำความไม่ดีมาไว้เท่าไรก็ไม่รู้ ซึ่งสิ่งไม่ดีเหล่านั้นมันไม่ได้หายไปไหนหรอก
         ความไม่ดีนี่ ท่านบอกว่า..มันเหมือน"ตอที่อยู่ ใต้น้ำ" "ถ้าน้ำเหลือน้อย น้ำลดตอมันก็โผล่ " พอตอมันโผล่มากเข้าๆ ก็เป็นอุปสรรคกับเรือที่สัญจรไปมา ท่านบอกว่า ยายมีชีวิตอยู่ริมน้ำมาตลอด ตั้งแต่เด็กๆ อยู่ริมแม่น้ำนครชัยศรี มาอยู่กับหลวงพ่อ ก็อยู่ริมคลองภาษีเจริญ  แม้มาอยู่วัดพระธรรมกาย กุฏิยายก็อยู่ข้างน้ำ อยู่ริมน้ำมาตลอด พอน้ำลดตอมันโผล่นะ 
          ต้องหมั่นทำบุญเยอะๆ เติมบุญของเราไปเรื่อย หนีตอใต้น้ำไปให้พ้น จนกระทั่งแม้มี มันก็ไม่ทำอันตรายเราได้ ทำบุญหนีบาปทั้งหลายไปให้พ้น  เพราะตอใต้น้ำนี่ มันโผล่ขึ้นมาแล้ว มันเป็นอุปสรรคในการสร้างบุญของพวกเรา 
            ท่านจะใช้คำว่า.."อย่าประมาทเชียวนะ ทำบุญกันไว้เยอะๆ" "บุญมัน มีได้ มันก็หมดได้"
นี่คือคำสอนคุณยายอาจารย์มหารัตนอุุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง